“เขียนสรุปสุดปัง ใจความสำคัญครบถ้วน”
“ฟัง พูด อ่าน เขียน” สำคัญจริงหรือ? สังเกตหรือไม่ว่า การสมัครงานหลายแห่งมักให้ผู้สมัครประเมินความสามารถและระบุลงในแบบฟอร์มสมัครงาน แม้แต่ชีวิตประจำวันเรายังได้ใช้ทักษะ ฟัง พูด อ่าน และเขียน อยู่ตลอดเวลา เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตื่นเช้ามาจะต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดอ่านอะไรบางอย่างดูเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นไลน์ หรือเช็คข่าวสาร เปิดเฟซบุ๊ค ฯ
ดังนั้น จึงถือว่า เราได้อ่านจับใจความสำคัญอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ถือเป็นทักษะที่สำคัญมากในการเขียนสรุปใจความสำคัญ หากเรามีทักษะในการอ่านจับใจความที่ดี เราจะสามารถเข้าใจและสื่อสารออกมาได้ดีด้วย แต่ระยะเวลาในการฝึกฝนนั้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางการอ่านของแต่ละท่าน ซึ่งทักษะการถ่ายทอดด้วยการเขียน นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนเชิงวิชาการ การเขียนข่าว การเขียนเรื่องราวต่าง ๆ เป็นต้น โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเขียนแตกต่างกันออกไปตามประเภทของผู้อ่าน การใช้ถ้อยคำ การเรียบเรียงคำ สำนวนของภาษาในการเขียน รูปแบบการใช้คำพูด ความสุภาพของภาษา หรือแม้กระทั่งอรรถรสทางภาษานั้นแล้วแต่ศิลปะของผู้ถ่ายทอดจะพรรณนาออกไป
ดังนั้น การพัฒนาทักษะการเขียนให้ดีขึ้น ต้องใช้ประสบกาณ์เข้าแลก โดยหมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีเทคนิคในการเขียนมานำเสนอ โดยทุกท่านต้องมีมุมมองเดียวกันก่อนว่า การเขียนสิ่งต่าง ๆ ออกไปนั้นเปรียบเสมือนการถ่ายทอดสิ่งที่ตัวผู้เขียนรู้และเข้าใจออกไปสู่ผู้อ่านผ่านตัวหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ แนวคิด เจตคติ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียน ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้นจะส่งไปถึงผู้อ่านได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับทักษะการเขียนของตัวผู้เขียนรวมถึงความเข้าใจในเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถพัฒนาทักษะการเขียนได้จากเทคนิคดังต่อไปนี้
1. การนำหลัก Story telling มาประยุกต์ใช้ คือ การเขียนโดยเรียงลำดับเหตุการณ์ / ความสำคัญของเนื้อหา โดยการเขียนตามโครงสร้างของ Story telling นั้นจะเน้นไปที่ประสบการณ์ของตนเองเป็นหลัก หากจะเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่การที่เราสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านเหมือนย่อบทความลง แต่เป็นการทำความเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ อย่างถ่องแท้และครบถ้วนทุกมิติ จากนั้นจึงเริ่มการเขียนเนื้อหาสรุปใจความสำคัญตามที่เราเข้าใจโดยมีองค์ความรู้เหมือนกับแหล่งข้อมูลที่เราอ่าน ต่างกันแค่ส่วนของสำนวนในการเขียน การใช้ถ้อยคำ การเปรียบเทียบ เปรียบเปรย และเทคนิคการถ่ายทอดเนื้อหา ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ขั้นตอนการวางแผนการเขียนตามหลัก Story telling ดังต่อไปนี้
1.1 การกำหนดเป้าหมาย / จุดประสงค์หลักที่จะสื่อถึง (ขั้นก่อนเขียน) ให้คำนึงถึงเนื้อหาที่เราต้องเขียนสื่อออกไป และสื่อออกไปให้ใคร
1.2 วางโครงเรื่อง (ขั้นก่อนเขียน) เรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหาจากมากไปน้อย โดยมี 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ บทนำ เนื้อหา และส่วนสรุป
1.3 หาข้อมูลที่ต้องการให้ตรงประเด็น มีคุณภาพ และน่าเชื่อถือ (ขั้นก่อนเขียน) โดยใช้หลักการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ช่วยในการหาข้อมูลในข้อนี้
1.4 ทำความเข้าใจเนื้อหาให้ถ่องแท้ (ขั้นทดลองเขียน) แยกประเด็นหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ให้ละเอียดมากไว้ก่อน ส่วนใดจะเป็นจุดสำคัญให้จดบันทึกเก็บไว้ แล้วเมื่อทดลองเขียนค่อยลองนำเนื้อหาใส่ลงไปอีกที ส่วนใดรวมกันได้ให้นำไปรวมกันภายหลัง
1.5 ทดลองเขียนตามโครงสร้างที่วางไว้ (ขั้นทดลองเขียน) โดยใช้ภาษาของตัวเองก่อนเสมอ
1.6 ตรวจสอบตรวจทานข้อมูลและเนื้อหาให้เรียบร้อยว่าขาดตกหรือผิดพลาดตรงไหน (ขั้นทดลองเขียน) ในขั้นตอนนี้จะอ่านเอง หรือจะให้คนรู้จักช่วยอ่านเพื่อทวนสอบความเข้าใจของเนื้อหา ผู้อ่านจะเข้าใจหรือไม่ และควรแก้ไขตรงไหน
1.7 ลงมือเขียนจริง (ขั้นลงมือเขียน) โดยต้องคำนึงถึง ความกระชับและเข้าใจง่ายของเนื้อหา การวางรูปแบบเนื้อหา ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง การใช้ถ้อยคำ และการเปรียบเทียบเปรียบเปรย และตรวจทานครั้งสุดท้ายเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา
2. ใช้ภาษาตัวเองหรือสำนวนตัวเองก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเข้าใจในเนื้อหาในแบบของตัวเอง เปรียบเสมือนกับว่า พอเป็นข้อความที่เราเขียนเอง จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นมากกว่าเป็นสำนวนหรือภาษาที่ผู้อื่นเขียนให้อ่าน และเมื่อทำความเข้าใจในส่วนที่ตัวเองเขียนไว้ในภาษาตัวเองแล้ว นำความเข้าใจเหล่านั้นไปใส่แยกในประเด็นต่าง ๆ ไว้ให้หลากหลายและครอบคลุมทุกประเด็นของเนื้อหาเพื่อความครบถ้วนของข้อมูลในการเขียนสรุปใจความสำคัญ
เมื่อนำเทคนิคทั้ง 2 มาใช้จริงและฝึกอยู่บ่อยครั้งพร้อมกับนำเทคนิคการอ่านมาช่วยเสริมกันไปด้วย จะทำให้เรายิ่งสามารถพัฒนาทักษะการเขียนได้ไวยิ่งขึ้น และได้พัฒนาทักษะการอ่านไปพร้อม ๆ กับทักษะการเขียน แต่อย่างไรก็ตาม ทักษะทั้งสองนี้ขึ้นอยู่กับความถี่ในการฝึกฝน เน้นสะสมประสบการณ์ หากต้องการจะพัฒนาให้ก้าวหน้าเร็วขึ้น ต้องใส่ใจฝึกฝน และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ฝึกฝนก็จะทำให้การพัฒนาช้ากว่าคนที่หมั่นฝึกฝนนั่นเอง
รวบรวมข้อมูลโดย นายธีรภัทร แผ่นภาษิต และนายศักดินนท์ แหยมสุขสวัสดิ์
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงาน จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
เอกสารอ้างอิง
คณาจารย์ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
(2548). ทักษะการรู้สารสนเทศ. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศ
ศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ทวีศักดิ์ กฤษเจริญ. (2564). การเล่าเรื่องเพื่อการจัดการความรู้ [ PDF file ] . สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2564,
จาก https://drive.google.com/drive/u/3/folders/18eOU-slq-uQe4-d02bLmEiESJnuN8lM0
ภาทิพ ศรีสุทธิ. (2564). การอ่านจับใจความสำคัญและการอ่านคิดวิเคราะห์. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2564, จาก